วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559
Home »
แมว
,
โรคที่มากับแมว
,
โรคมากับสัตว์เลี้ยง
,
โรคหอบหืด
» โรคที่มากับแมว (สัตว์เลี้ยงที่ใกล้ตัวเรา)
โรคที่มากับแมว (สัตว์เลี้ยงที่ใกล้ตัวเรา)
สัตว์เลี้ยงที่คนไทยนิยมเลี้ยงกันมากที่สุดชนิดหนึ่ง คือแมว เพราะเอามาเลี้ยงถึงเนื้อถึงตัวได้มากกว่า ดังนั้น จึงจะขอเล่าเรื่องโรคที่มากับแมว
ธรรมชาติของแมว เป็นสัตว์กินเนื้อ มีนิสัยที่อยากรู้อยากเห็น และไม่อยู่นิ่ง ชอบออกเดินทางไปตามที่ต่าง นิสัยเฉพาะตัวของแมวจึงเป็นที่มาของโรคหลายๆโรคที่มันนำมาสู่คนได้
คนที่เลี้ยงแมวก็ลองดูกันไว้ครับว่าคุณเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหล่านี้หรือไม่
1. โรคหอบหืด ภูมิแพ้
ขนแมว เป็นหนึ่งในสารก่อภูมิแพ้ โดยเชื่อกันว่าสามารถก่อภูมิแพ้ได้ง่ายกว่าขนสุนัขจากคุณสมบัติที่เบากว่า แต่เรื่องขนไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้แมวทำให้เจ้าของเกิดอาการภูมิแพ้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่คนเราแพ้จากแมวมากเสียยิ่งกว่าขนก็ยังมีคือ ขี้ไคลแมว... อันนี้คนเราแพ้ซะยิ่งกว่าที่แพ้ขนซะอีก
นอกจากนี้ยังมีเหตุอ้อมๆอีกหลายอย่าง เช่น แมวที่ชอบกัดหรือเล่นแมลงสาบ แมวที่ชอบไปคลุกฝุ่น และเอามาป้ายเจ้าของ
ทางแก้ไขก็คืออาบน้ำแมวซะบ้าง และหลีกเลี่ยงการเอาแมวมานอนบนที่นอน (เชื่อเถอะว่าทำได้ยาก เพราะผมก็นอนกับแมว) ซึ่งถ้าทำสองข้อนี้ไม่ได้และไม่สามารถตัดใจจากแมวได้ ก็ให้ทำใจว่าคุณคงไม่หายจากโรคภูมิแพ้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปเปลี่ยนหมอแต่ประการใด
2. กลาก
ง่ายๆ สั้นๆ ผิวหนังสัตว์หลายๆชนิดเป็นที่สะสมของเชื้อราเป็นอย่างดี
ใครก็ตามที่เป็นกลากบ่อยๆ รักษาหายแล้วเป็นซ้ำตามที่ต่างๆไม่ค่อยซ้ำแห่งกัน และเลี้ยงแมว ให้สังเกตไว้บ้างครับว่า
แมวของท่านมันไปนอนซุกตามเสื้อผ้าบ้างหรือไม่ (คนที่ไม่เลี้ยงอาจคิดว่า ดูจากขนแมวสิ แต่ที่จริงไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะคนที่เลี้ยงแมวหลายๆคน เสื้อผ้าซักแล้วก็ยังมีขนแมวติดเสื้ออยู่ดี) ถ้าเจอก็ให้เอาไปซักซ้ำครับ
3. โรคท๊อกโสพลาสโมสิส (Toxoplasmosis)
อาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่หากบอกว่า เป็นโรคเชื้อราขึ้นสมอง คงจะพอคุ้นหูกันบ้าง
ที่ไม่ค่อยคุ้นเพราะโรคนี้มักไม่มีผลกับคนธรรมดาที่ร่างกายแข็งแรง แต่โรคนี้เป็นอันตรายต่อผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อย่างเช่น คนไข้มะเร็ง คนไข้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้สูงอายุ ผู้ที่กินสเตียรอยด์เป็นประจำ สตรีมีครรภ์(ที่จริงคือเด็กในท้อง)
โดยเชื้อโรคจะมีอยู่ในอุจจาระของแมว ซึ่งจะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นหากปล่อยอุจจาระในที่ร่มจนแห้ง
ทางแก้ เราไม่แนะนำให้ทิ้งแมว (ถ้าสังเกตดู คนที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันต่ำข้างต้น ชอบเลี้ยงแมวซะด้วย)แต่แนะนำให้ทุกครั้งที่เอากระบะอุจจาระแมวไปทำความสะอาด ควรใส่ผ้าปิดจมูกป้องกันการฟุ้งกระจาย และควรนำอุจจาระแมวหรือกระบะไปตากแดดก่อนทิ้งอย่างมิดชิด
4. โรคพิษสุนัขบ้า
เมื่อก่อนหลายคนยังเข้าใจผิดว่า โรคพิษสุนัขบ้ามีเฉพาะหน้าร้อนและมากับสุนัขเท่านั้น ความจริงโรคนี้ติดต่อได้ทางสัตว์ตระกูลเลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งแมวก็เป็นหนึ่งในสัตว์ที่เสี่ยง
วิธีป้องกันคือ นำแมวที่เลี้ยงไปฉีดยาปีละครั้ง และทุกครั้งควรมีสมุดประจำตัวแมว เพื่อติดสติ๊กเกอร์เป็นหลักฐานว่าได้ฉีดจริง เวลาแมวคุณไปกัดใครเข้า จะได้มีหลักฐานไปแสดง คนที่ถูกกัดจะได้ไม่ต้องลำบากฉีดหลายเข็ม
อีกอย่างหนึ่ง หากแมวคุณไปกัดคนอื่น แล้วโดนบังคับให้ตัดหัวส่ง เพื่อตรวจหาเชื้อ... ในความคิดผมเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะปัจจุบันถ้าไม่มั่นใจหรือสงสัยจนถึงขนาดนั้น ก็มักจะฉีดเซรุ่มไปเลย ไม่มามัวนั่งรอผลตรวจสมอง
ดังนั้นไม่ต้องตัด หรือถ้าจะตัด ก็ตัดไปส่งที่อื่นไม่ต้องเอามาส่งที่รพ.
(อ่านเรื่องโรคพิษสุนัขบ้าได้จากรวมบทความของปีที่แล้วครับ)
5. โรคติดเชื้อจากแผล
เช่นโรคบาดทะยัก และโรคติดเชื้อของเนื้อ(Cellulitis)
ในปากแมวมีเชื้อโรคมากมายยิ่งกว่าเชื้อโรคตามพื้นถนน จะเป็นรองก็แค่ปากคนเท่านั้น ดังนั้นการโดนแมวกัดจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก สังเกตได้ว่าแผลโดนแมวขบเล็กๆ ทิ้งไว้เพียงวันเดียวก็สามารถแดงบวมขึ้นกลัดหนองได้
ดังนั้นหากโดนแมวกัด ก็ควรล้างน้ำฟอกสบู่ให้สะอาด และสังเกตว่ามีลักษณะปวดบวมแดงร้อนหรือไม่ หากมีก็อาจจะต้องเจาะล้างหรือกินยาปฏิชีวนะ
ส่วนเรื่องของบาดทะยัก หากใครก็ตามที่ฉีดมานานกว่า10ปี ก็สมควรไปฉีดกระตุ้นเสมอ โดยเฉพาะคนที่เลี้ยงแมวและโดนกัดหรือข่วนเป็นประจำ
6. พยาธิตัวกลมและพยาธิปากขอ
พยาธิ ทั้ง 2 ชนิดนี้พบได้ทั้งในสุนัขและแมว โดยปนเปื้อนมากับอุจจาระของสัตว์ ซึ่งจะติดสู่คนด้วยการสัมผัส คุณแม่ท้องคงไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เท่าไร หากล้างมือทุกครั้งก่อนทานอาหาร แต่ลูกวัยเล็ก ที่ไปเล่นนอกบ้าน เล่นที่สนาม หรือจับสัตว์เลี้ยงแล้วไม่ล้างมือ ไข่ของพยาธิตัวกลมจะติดต่อสู่คน โดยการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและสัตว์เลี้ยง ส่วนพยาธิปากขอสามารถชอนไชผ่านทางผิวหนังไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระเพาะอาหาร ตับ ปอด จึงควรรักษาความสะอาด และล้างมือก่อนทานอาหาร
7.โรค Toxoplasmosis (โรคขี้แมว)
เจ้าเหมียวสามารถนำโรคภัยมาสู่แม่ท้องได้มากกว่าเจ้าตูบค่ะ โดยเฉพาะโรคนี้ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเชื้อนี้เกิดจากเชื้อโปรโตซัว ซึ่งจะเจริญและขยายพันธุ์ในลำไส้ของแมว โดยแมวที่เลี้ยงแบบปล่อย มักจะชอบเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งอาจจะไปกินเนื้อดิบ ๆ หรือกินหนู และแมลงสาบที่ติดเชื้อ เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายแมว ไปอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ตลอดจนลำไส้ของแมว และเชื้อจะปนเปื้อนออกมากับอุจจาระของแมว
ถ้าคุณแม่ไปทำความสะอาดกระบะทราย และสัมผัสถูกอุจจาระแมว และไม่ล้างมือก่อนทานอาหาร คุณแม่ก็จะได้รับเชื้อโรคนี้ แล้วเชื้อจะส่งผ่านทางรกไปสู่ลูกน้อยในครรภ์ได้ ซึ่งผลที่มีต่อเด็กคือ เด็กบางคนอาจแท้ง บางคนเมื่อเด็กคลอดออกมาตอนแรกจะเหมือนเด็กปกติทุกอย่าง แต่หลังจากคลอดประมาณ 6-7 เดือน เด็กที่ติดเชื้อโรคนี้จะมีอาการ ตาบอด ปัญญาอ่อน มีปัญหาด้านการเรียนรู้ และมีปัญหาด้านระบบประสาท เช่น สมองบวมน้ำ มีอาการชักและความผิดปกติของระบบประสาทได้
แต่โรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแม่ท้องทุกคน เนื่องจากคุณแม่ส่วนใหญ่ที่แข็งแรงดี จะมีภูมิต้านทานโรคนี้อยู่ในระดับหนึ่งแล้ว หากได้รับเชื้อจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด แล้วก็หายไป คุณแม่ท้องที่ต้องระวังคือ คุณแม่ในกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งซึ่งอยู่ในช่วงให้เคมีบำบัด และผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เพราะคุณแม่ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีภูมิต้านทานต่อโรคต่ำ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยคุณแม่ที่ได้รับเชื้อโรคนี้จะมีไข้และต่อมน้ำเหลืองบวม บางรายจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้
หากรักจะเลี้ยงแมว สมควรรู้และปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคที่มากับแมวครับ เพื่อการป้องกันไว้ ไม่ให้เราเป็นโรค เพราะเมื่อเกิดโรคแล้วเราจะลำบากใจและทุกข์ใจที่จะลาจากจากสัตว์หน้าขนน่ารักพวกนี้
ทางที่ดีหากไม่สามารถแยกที่อยู่ออกจากสัตว์เลี้ยงเหล่่านี้ได้ เช่นผู้ที่อาศัยอยู่ในห้องชุด ห้องเช่า หรืออพาร์ทเม้นท์ ก็ไม่ควรเลี้ยง เนื่องจากนอกจากจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อแล้ว ยังผิดกฏหมายอีกด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น